หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2557

ให้มันได้แบบนี้สิไอ้น้อง!

ให้มันได้แบบนี้สิไอ้น้อง!
จั่วหัวมาแบบนี้ บอกเลยว่ามันความรู้สึกส่วนตัว ที่มาจากก้นบึ้งของหัวใจ หลังจากสิ้นเสียงนกหวีดยาว ในเกมที่ "อินชอน ฟุตบอล สเดี้ยม" ช่วงบ่ายแก่ๆของวันอาทิตย์ที่ 28 กันยายนที่ผ่านมา


นักเตะหนุ่มวัยคะนองศึกของเมืองสยาม โชว์ผลงานกระหึ่มแดนกินจิ ด้วยผลงานชิ้นโบว์แดง มอบเป็นของขวัญให้กับแฟนกีฬาชาวไทย
ชัยชนะเหนือ จอร์แดน แบบสะใจโก๋ 2-0 เป็นอะไรที่แฟนบอล บอกเป็นเสียงเดียวว่า นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้เห็นทีมชาติไทยเราเล่นด้วยฟอร์มแบบนี้ 

ลูกยิงสุดสวยของ "เมสซี่เจ" ชนาธิป สรงกระสินธ์ กับ เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์ ยกระดับความสุดยอดให้ทีมชาติไทยชัดเจนขึ้นไปอีก
เส้นทางสู่เหรียญทอง ไม่ใช่เรื่องที่เพ้อเจ้อ เพราะนาทีนี้ พวกเขาได้กรุยทางเข้าสู่รอบรองชนะเลิศ เป็นครั้งที่ 4 ในประวัติศาสตร์วงการลูกหนังไทย!

คู่แข่งของพวกเขาในเบื้องหน้า ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน นั่นคือ "เจ้าภาพ" เกาหลีใต้ ที่เฉือนชนะ ญี่ปุ่น มาแบบเฉียดฉิว 1-0 ด้วยจุดโทษในช่วงท้ายเกม


ย้อนกลับไปเมื่อปี 1990 ทีมลูกหนังไทย เคยจากรึกผลงานแจ่มแจ๋วในมหกรรมกีฬาเอเชียนเกมส์ ด้วยการเข้าไปถึงรอบรองชนะเลิศ พร้อมกับการแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวของ ประเสริฐ ช้างมูล ด้วยลูกยิงดับฝันเจ้าภาพจีน 1-0 ในวันชาติของพวกเขาอีกต่างหาก ยุคนั้นสมัยนั้น ใครเกิดทันจะรับรู้ว่ามันคือยอดเกมที่ทีมชาติไทยจะมีวันลืม

ถัดมาใน ปี 1998 ในเอเชียนเกมส์ครั้ง 13 ที่กรุงเทพฯ ทีมลูกหนังไทย ในยุคผู้จัดการทีมที่ชื่อ "บิ๊กหอย" ธวัชชัย สัจจกุล จากการคุมทัพของ ปีเตอร์ วิธ แข้งไทยแลนด์ และแข้งดังในชุดนั้นอย่าง เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง,ดุสิต เฉลิมแสน,เสนาะ โล่งสว่าง
ในห้วงเวลนั้น ผู้เล่นที่ถูกเรัยกว่า "ดรีมทีม" สร้างผลงานลือลั่นสนั่นแผ่นดินสยาม เมื่อจัดการพิชิต เกาหลีใต้ในช่วงต่อเวลาแบบโกล์เด้นโกล์(ยิงเข้าแล้วชนะเลย ที่เป็นกฏใหม่ในช่วงเวลานั้น) จากประตูสุดมหัศจรรย์ ของ"เจ้าวัง"  ธวัชชัย ดำรงค์อ่องตระกูล ในรอบก่อนรองชนะเลิศ ทั้งที่เหลือผู้เล่นแค่ 9 คนในสนาม

สุดท้าย แม้บทสรุปใน 2 ครั้งดังกล่าว ทีมชาติไทย จะไม่สามารถหยิบเหรียญใดเหรียญหนึ่งมาได้ แต่นั่นก็ทำให้พวกเขา สร้างรอยยิ้มและความสุขให้กับคนไทยได้มากมาย จนเป็นกระแสฟีเวอร์ไปหลายต่อหลายวัน  

ย้อนกลับไปดูไปชมคลิปในครั้งนั้น แม้ผมจะไม่ได้อยู่สนามในเกมนัดนั้น เนื่องด้วยตั๋วหมดเกลี้ยงในเวลาไม่กี่อึดใจที่เปิดขาย จนหวิดเกิดจลาจล แถมตั๋วผีราคาก็พุ่งกระฉูดจนสมัยนั้น ผมมิอาจเอื้อมถึง! 

เสียงผู้บรรยายเกมนั้น (บิ๊กจ๊ะ สาธิต กรีกุล) ตะโกนลั่นสนาม ทันทีที่ลูกยิงสุดติ่งกระดิ่งแมวของ ธวัชชัย สัมผัสตาข่ายดังซ๊วบบบบบบบบบบ! เชื่อว่าหลายคน (อายุ30+) ยังพอจำได้


มาวันนี้ทีมลูกหนังไทย ภายใต้การคุมทีมของ "ซิโก้" เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง  บรุษหนุ่มจากเมืองขอนแก่น ที่เวลานี้เขาได้กลายเป็นบุคคลประวัติศาสตร์ของวงการลูกหนังไทย

เมื่ออดีตกองหน้าจอมตีลังกา ถูกบันทึกว่าเป็นคนไทยคนแรก ที่พาทีมชาติไทยเข้าสู่รอบรองชนะเลิศ ฟุตบอลเอเชียนเกมส์ได้สำเร็จ ทั้งในฐานะนักเตะ และฐานะการเป็นกุนซือ

ความแตกต่าง บนรูปเกมฉบับ "ซิโก้" ในแต่ละเกม มันมาจากปัจจัยที่หลายคนต้องซูฮก และ ยกว่าเขาคือคนที่ทำให้ทีมชาติไทยยุคใหม่ เดินทางมาถึงจุดนี้ได้


ผลงานทะลวงตาข่าย อินโดฯแบบหาทางกลับบ้านไม่ถูก6-0, ตามด้วยจัดการแข้งเมืองมังกรอยู่หมัด 2-0 และ ล่าสุดอัด จอร์แดน แบบสุดสะใจ 2 เม็ดเน้นๆ นี่แหล่ะ คือตัวชี้วัดชั้นดีว่าสิ่งที่ซิโก้ได้วางไว้ให้กับฟุตบอลไทยในชุดนี้ มันยอดเยี่ยมขนาดไหน ที่สำคัญในอินชอนเกมส์คราวนี้ เด็กในคาถาของ "ซิโก้" เจาะตาข่ายคู่แข่งไปแล้วถึง 15 ลูก แถมยังรักษาคลีนชีตได้แบบสง่าผ่าเผยอีกต่างหาก  

รูปแบบการเล่น ที่เน้นการเล่นบอลเท้าสู่เท้า , เห็นแล้วให้, ให้แล้วไป บวกกับความเข้าใจเกมของนักเตะ และที่สำคัญเรื่อง พละกำลัง คือสิ่งที่ทีมชุดนี้แสดงออกมาตลอด 5 เกมที่ผ่านมา 

นอกเหนือไปจากนั้น การจบสกอร์ที่เด็ดขาด รวมทั้งการเข้าทำที่เข้าอกเข้าใจแบบสุดเหลือรับประทานของนักเตะในชุดนี้ มันคงไม่ใช่เรื่องฟลุ๊คแน่ๆ  

ที่พูดมาใช่ว่าจะยกยอกันจนออกนอกหน้านอกตา แต่ความจริงก็คือความจริง คนดูบอลทุกคนต่างรู้สึกไม่ต่างกัน ว่าผู้เล่นในชุดนี้คือของจริง! ไม่ใช่เด็กเส้น 100%


รอบต่อไป ทีมชาติไทย จะลงสังเวียนในรอบรองชนะเลิศ พบกับกระดูกชิ้นโต อย่างเจ้าภาพ เกาหลีใต้ ในวันอังคาร์นี้ เวลา 18.00 น. ย้ำ 18.00 น. (ช่อง 3 และ ทรูวิชั่นส์ ถ่ายทอดสด)

แม้จากชื่อชั้น และสภาพแววดล้อมต่างๆ เราจะเป็นรองในทุกๆด้าน แต่แหม...ขึ้นชื่อว่า "ลูกกลมๆ มีลมอยู่ข้างใน" ใครจะรู้ได้ว่าจะจบอย่างไร? 

นักเตะหนุ่มเมืองสยาม เดินทางมาไกลเกินกว่าที่คิด ผลงานที่เหลือคือสิ่งที่เรียกว่า "กำไร" ที่พวกเขาจะร่วมกันตอบแทนทุกหัวใจของแฟนบอลที่มีต่อพวกเขา

ไม่แน่....นะครับ วันอังคารนี้ เรามาช่วยกันเชียร์ เพราะวันนั้นอาจเป็นวันที่กองเชียร์ชาวกิมจิ จะได้รู้สึกไม่ต่างจากกองเชียร์ชาวจีน เมื่อ 24 ปีที่แล้วก็เป็นได้!